Last updated: 8 มี.ค. 2568 | 23 จำนวนผู้เข้าชม |
ทุกอย่างที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับ #โรคปวดหลังร้าวขา: ทุพพลภาพ-อัมพาตได้ แต่ก็รักษาให้หายได้ ในราคาหลักพัน
บทความโดย พท. ภัทระ สุทธจิตต์
โรคปวดหลังล่าง (Lower Back Pain) สร้างความทุกข์ทรมานให้กับคนทั่วโลกขณะนี้ประมาณ 620 ล้านคน และในนั้นมีจำนวนมากที่ไม่ใช่แค่เพียงปวดหลังล่างอย่างเดียว แต่อาการปวดมันแผ่ร้าวลงสะโพกและลงไปถึงขาด้วย ซึ่งบทความนี้บุญบัวคลินิกจะขอเน้นพูดถึงอาการปวดหลังล่างชนิดที่ร้าวลงขาเท่านั้น
ในทุกๆวันจะมีผู้ป่วยที่เกิดอาการปวดหลังล่างร้าวลงขาเข้ารักษาที่โรงพยาบาลและคลินิกกระดูกและข้อเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีหลายกรณีที่ผู้ป่วยได้รับความสับสนกลับมาว่าสรุปว่าตนเองเป็นอะไรกันแน่ หมอบางท่านบอกเป็นกล้ามเนื้ออักเสบ บางท่านบอกเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท หรือกระดูกเสื่อม บางท่านบอกกล้ามเนื้อหนีบเส้นประสาท ฯลฯ สุดท้ายได้ยามาทานแต่ก็ไม่ดีขึ้น ถูกส่งเอ็กซเรย์ ทำ MRI หมอให้ทำกายภาพ ฉีดยา ก็ดีขึ้นชั่วคราว สุดท้ายกังวลว่าอาจจะต้องเข้ารับการผ่าตัด
เราเข้าใจและเห็นใจว่าผู้ป่วยทุกท่านที่มีอาการดังกล่าว ไม่แต่เพียงทุกข์ทรมานทางกายแล้วยังต้องมาทุกข์ใจเพราะความกังวลและความเครียดเรื่องการรักษาที่สับสนอีก อย่างไรก็ตามขออย่าเพิ่งได้กังวลใจ ลองอ่านบทความนี้ดูก่อน
1. โรคปวดหลัง-เอว-ก้น ชนิดที่แผ่ร้าวลงขา คืออะไร ??
โรคปวดร้าวลงขาพบว่ามีการศึกษามาเนิ่นนานย้อนไปถึงสมัยกรีกโบราณ ในทางการแพทย์แผนปัจจุบันเรียกโรคนี้ว่า “ โรคปวดเส้นประสาทไซอาติก” (Sciatica Pain) หรือมักเรียกสั้นๆว่า “ไซอาติก้า” (Sciatica) ซึ่งมาจากภาษากรีกโบราณตั้งขึ้นเพื่อเรียกอาการเจ็บปวดบริเวณสะโพกและต้นขา ชื่อไซอาติก้านี้ไม่เป็นที่คุ้นหูคนไทยแน่นอน แม้ในวงการแพทย์ของไทยเองก็ตาม และเชื่อหรือไม่ว่าโรคนี้ยังไม่มีชื่อเรียกในภาษาไทยเลย
2. โรคไซอาติก้า มาจากไหน ??
ไซอาติก้าเป็นอาการปวดทางระบบประสาทที่เกิดจากการระคายเคืองของเส้นประสาทขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกาย (ส่วนกว้างสุดหนาถึง 2ซม.) ที่มีจุดเริ่มต้นออกมาจากบริเวณกระดูกสันหลังส่วนล่างช่วงเอว พาดผ่านสะโพกด้านหลัง ต้นขาด้านหลัง น่อง ไปจนถึงเท้า เส้นประสาทใหญ่เลี้ยงขานี้มีชื่อว่า เส้นประสาทไซอาติก (sciatic nerve) ดังนั้นเขาจึงเรียกอาการปวดร้าวตามแนวดังกล่าวนี้ว่า โรคไซอาติก้า (ต้องแยกให้ออกว่า อาการปวดขาจากกล้ามเนื้อและอาการไซอาติก้า มาจากสาเหตุต่างกัน)
3. อะไรบ้างทำให้เส้นประสาทไซอาติกมีปัญหา ??
แม้ร่างกายมนุษย์จะถูกออกแบบมาอย่างวิจิตรพิสดารเกือบสมบูรณ์แบบ แต่โชคไม่ดีที่เส้นประสาทนี้ต้องพาดผ่านสิ่งแวดล้อมที่มักสร้างปัญหาให้กับตัวมันได้ง่ายๆ หลักๆมีอยู่ 2 สิ่ง คือ 1.หมอนรองกระดูกปลิ้นไปกดทับมัน 2. กล้ามเนื้อก้นชั้นลึกหนีบรัดมัน ซึ่งทั้ง 2 ลักษณะปัญหานี้ส่งผลให้เส้นประสาทอักเสบและเกิดอาการปวดตามมา อาการปวดมักปวดบริเวณหลังส่วนล่างหรือเอว ก้น และมีความปวดร้าวไปถึงช่วงขาด้านหลัง ในบางรายอาจร้าวไปถึงน่องหรือเท้า ลักษณะการปวด เช่น เจ็บแปลบ ปวดเหมือนไฟช็อต กล้ามเนื้อกระตุก เจ็บคล้ายเข็มทิ่ม ปวดแสบร้อน และอาการอ่อนแรงกล้ามเนื้อ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอาการปวดลงที่ขาข้างใดข้างหนึ่ง น้อยรายที่จะมีอาการที่ขาทั้งสองข้าง อาการเหล่านี้อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตของแต่ละคน
4. แยกยังไงว่าเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท หรือ กล้ามเนื้อหนีบเส้นประสาท (สลักเพชรจม) ??
ปัจจุบันในวงการแพทย์ทั่วโลกก็ยังมีความสับสนในด้านการตรวจวินิจฉัยและการรักษาโรคไซอาติก้า เนื่องจากอาการปวดเอว-สะโพกร้าวลงขาที่เกิดจากหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท (Lumbar spondylosis) และจากภาวะกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท (Piriformis syndrome) ที่ภาษาไทยจะเรียกว่า “สลักเพชรจม” มีความละม้ายคล้ายคลึงกันมาก หากไม่ได้ดู MRI ก็อาจวินิจฉัยผิดพลาดได้ การตรวจแยกโรคจึงค่อนข้างลำบากเพราะต้องอาศัยศาสตร์ทางการแพทย์สองแขนง ทั้งนี้แพทย์ด้านกระดูกและข้อ (หมอออร์โธ) อาจตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทได้ แต่อาจไม่มีความเชี่ยวชาญด้านโรคทางระบบกล้ามเนื้อและพังผืดที่รบกวนระบบประสาท (Neuromuscular disorder) เท่าหมอทางด้านกล้ามเนื้อ ดังนั้นจึงอาจจะไม่แปลกที่มีผู้ป่วยบางส่วนไปโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการปวดร้าวลงขาแล้วไม่ดีขึ้น
5. อันตรายของโรคไซอาติก้า ทำไมถึงขั้นพิการ หรือเสี่ยงเป็นอัมพาต ??
อาการปวดร้าวลงขาทั้งสองสาเหตุสามารถทำให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตลำบากและทุพพลภาพได้ทั้งคู่ โดยขอแยกอธิบายดังนี้
5.1. ภาวะหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท มีการดำเนินของโรคเป็นระยะคือ 1. ระยะเริ่มต้น เมื่อหมอนรองกระดูกเกิดความเสื่อมจะส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังเรื้อรัง ซึ่งในช่วงแรกอาจมีอาการเป็นๆ หายๆ จากนั้นระดับความเจ็บปวดจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยอาการจะเป็นมากกว่า 2 สัปดาห์ 2. ระยะปานกลาง หมอนรองกระดูกจะเริ่มเคลื่อนและปลิ้นออกมา ทำให้เกิดอาการปวดร้าวหรือปวดหลังร้าวลงขา จากนั้นจะเริ่มลามไปที่ขาหรือเท้า ผู้ป่วยบางคนอาจมีอาการชาร่วมด้วย 3. ระยะรุนแรง เมื่ออาการกดทับเส้นประสาทเริ่มมีความรุนแรงขึ้น ก็จะทำให้ร่างกายเกิดความเจ็บปวด ชา และกล้ามเนื้ออ่อนแรงมากขึ้นเท่านั้น รวมทั้งมีอาการผิดปกติทางระบบประสาทที่รุนแรง เช่น มีอาการผิดปกติในการควบคุมปัสสาวะและ อุจจาระ เป็นต้น และมีปัญหาในการเดิน เช่น ทรงตัวได้ไม่ดี เดินลำบาก ขาแข็งเกร็ง ซึ่งจะมีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บและพิการ ทั้งนี้ผู้ป่วยจะทุกข์ทรมานมากจนไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ ซึ่งอาจเป็นอัมพาตได้
5.2. ภาวะกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท (สลักเพชรจม) มีการดำเนินของโรคเป็นระยะ คือ 1. ระยะเริ่มต้น ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตึงในสะโพกหรือในก้นลึกๆ หลายรายมีอาการปวดหลังล่างร่วม ระยะแรกอาจมีอาการเป็นๆหายๆ หรือออกกำลังกาย ขยับร่างกาย หรือยืดเหยียด ทำกายภาพ ก็หายไป 2. ระยะปานกลาง หากปล่อยไว้และไม่รีบคลายกล้ามเนื้อที่หดเกร็งและเริ่มหนีบรัดเส้นประสาทไซอาติก อาการจะเริ่มรุนแรงขึ้น คือมีอาการปวดร้าวลงก้นย้อย ลงหลังต้นขา บางรายอาจปวดแถวข้อพับเข่า หรือน่องส่วนบน มีตะคริวบ่อย 3. ระยะรุนแรง เมื่อเส้นประสาทถูกกล้ามเนื้อสะโพกชั้นในหนีบรัดเป็นเวลานานหลายเดือน จะเริ่มมีอาการปวดแปลบร้าวลงขา ลงข้อเท้า ฝ่าเท้า มีอาการชาหรือเสียวซ่าที่ขาหรือเท้า กล้ามเนื้อขาอ่อนแรง เดินแล้วเข่าทรุดหรือล้ม ขยับขาหรือเท้าลำบาก นอนเหยียดขาตรงไม่ได้ เดินยกก้าวขาไม่ได้ ยืนทิ้งน้ำหนักลงขาไม่ได้ เหยียดตัวตรงไม่ได้ต้องงอตัว นั่งลำบาก ไอจามจะปวดร้าวไปทั้งแนวเส้นประสาท
6. ประชาชนจะเข้าสู่การตรวจรักษาโรคไซอาติก้าได้อย่างไรบ้าง
อย่างที่ได้กล่าวถึงในเบื้องต้นว่าอาการของภาวะหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทและภาวะกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาทมีความคล้ายคลึงกันมากแทบแยกไม่ออก การตรวจร่างกายอย่างเดียวอาจจะไม่พอเพียง (นอกจากแพทย์ที่มีประสบการณ์เชี่ยวชาญสูง) สิ่งสำคัญที่จะช่วยวินิจฉัยอาการปวดร้าวลงขาได้ดีที่สุดคือการส่งตรวจทางรังสีวินิจฉัย การอ่านภาพคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือ MRI จะเห็นภาวะของหมอนรองกระดูกได้ดีที่สุด รองลงมาคือการอ่านภาพเอ็กซเรย์ ดังนั้นผู้ป่วยอาการไซอาติก้าโดยเฉพาะในระยะปานกลางควรไปพบแพทย์กระดูกและข้อเพื่อตรวจและหาสาเหตุในเบื้องต้น เพื่อเป็นข้อมูลพิจารณาว่าอาการปวดร้าวลงขาของตนมาจากสาเหตุทางหมอนรองกระดูกหรือทางกล้ามเนื้อ
7. การรักษาไซอาติก้าด้วยการแพทย์สายหลักและการแพทย์ทางเลือก
ในปัจจุบันผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังล่างร้าวลงขาเมื่อเข้าตรวจกับหมออายุรกรรม ก็จะได้รับการตรวจวินิจฉัยเบื้องต้น หากเป็นในระยะเริ่มต้นอาจได้รับยากลุ่มลดอาการปวด เช่น ยาบรรเทาอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือการฉีดยาสเตียรอยด์ในโพรงเส้นประสาท หรือส่งทำกายภาพบำบัด หากไม่ตอบสนองหรืออาการดีขึ้นอาจส่งแพทย์ศัลยกรรมกระดูกและข้อเพื่อตรวจทางรังสีวินิจฉัย และแพทย์อาจแนะนำการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด ทั้งนี้การแพทย์แผนปัจจุบันทั่วโลกยังมีข้อจำกัดในการตรวจและรักษาโรคไซอาติก้าที่เกิดจากกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท จึงอาจเกิดการผิดพลาดในด้านของการตรวจวินิจฉัยและรักษาได้
ในส่วนของแพทย์ทางเลือกที่เชี่ยวชาญด้านโรคทางกล้ามเนื้อและพังผืด fascia ผู้ป่วยสามารถเข้าตรวจวินิจฉัยเพื่อแยกสาเหตุของโรคปวดหลังร้าวลงขาได้ในเบื้องต้น และหากพบว่าอาการไซอาติก้านั้นมีสาเหตุทางกล้ามเนื้อพังผืดรัดเส้นประสาทก็สามารถทำการรักษาได้เลยโดยไม่ต้องทานยา ฉีดยา หรือผ่าตัด การรักษาโรคกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาทไม่ได้ซับซ้อนยุ่งยาก เพราะเมื่อกล้ามเนื้อคลายตัวจากการหนีบรัดเส้นประสาทอาการก็จะหายเป็นปกติ
8. การรักษาโรคไซอาติก้าของบุญบัวคลินิก
บุญบัวคลินิกเชี่ยวชาญในการรักษาอาการปวดหลังชนิดไม่ร้าวลงขา และชนิดร้าวลงขาและ/หรือมีอาการชาลงเท้า หรืออ่อนแรง โดยให้บริการตรวจวินิจฉัยและรักษาให้กับผู้ป่วยไซอาติก้ามาเป็นเวลาร่วม 10 ปี บุญบัวคลินิกสามารถตรวจและรักษาทั้งภาวะหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท และ ภาวะกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท โดยมีเงื่อนไขดังนี้
1. หากตรวจพบว่าเป็นไซอาติก้าที่เกิดจากภาวะกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท หรือสลักเพชรจม เรารักษาและฟื้นฟูให้หายเป็นปกติได้ โดยทั่วไปจะใช้เวลาในการรักษาต่อเนื่อง 3 ครั้ง
2. หากพบว่าไซอาติก้าเป็นผลมาจากปัญหาทางระบบกระดูกสันหลัง บุญบัวคลินิกสามารถรักษาได้แต่มีเงื่อนไข คือผู้ป่วยมีภาวะหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาทในขั้นต่อไปนี้
- ระดับที่ 1 : หมอนรองกระดูกเคลื่อนหรือปูดออกมาในบริเวณโพรงประสาท (bulging disc) ไม่เกิน 3 มิลลิเมตร และตัว annulus fibrosus ยังปกติ
- ระดับที่ 2 : Protrusion คือ การเคลื่อนของหมอนรองกระดูกมาทางด้านหลังมากกว่า 4 มิลลิเมตร และเจลแกนกลาง (Nucleus pulposus) ไหลมาชิดกับขอบนอกของ annulus fibrosus แต่ยังไม่ทะลุออกมา
- ผู้ป่วยมีภาวะหมอนรองกระดูกเสื่อมอยู่ใน เกรด 1-3 ตามการจัดระดับของ Pfirrmann Classification จากการอ่านผล MRI แบบ T2-weighted
- Spondylolisthesis: ภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อกระดูกชิ้นหนึ่งเคลื่อนไปข้างหน้าทับอีกชิ้นหนึ่ง ทำให้เส้นประสาทถูกกดทับและอาการของอาการปวดตะโพกที่อาจเกิดขึ้นได้
- โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (spinal stenosis) ที่เกิดจากการหนาตัวของเนื้อเยื่อหรือเอ็นบริเวณรอบๆ โพรงกระดูกสันหลัง
3. บุญบัวคลินิกไม่รับรองผลรักษาอาการปวดร้าวลงขาในเคสต่อไปนี้
- หมอนรองกระดูกเคลื่อนออกมาในระดับที่ 3 : Extrusion คือ เนื้อเยื่อด้านนอกมีการฉีกขาด และเจลแกนกลางปลิ้นออกมาด้านนอก แต่เจลด้านในยังไม่แยกขาดออกจากกัน
- หมอนรองกระดูกเคลื่อนออกมาในระดับที่ 4 : Sequestration คือ เนื้อเยื่อด้านนอกมีการฉีกขาด เจลแกนกลางปลิ้นออกมาด้านนอก และเจลด้านในแยกขาดออกจากกัน
- ผู้ป่วยมีภาวะหมอนรองกระดูกเสื่อมอยู่ใน เกรด 4-5 ตามการจัดระดับของ Pfirrmann Classification จากการอ่านผล MRI แบบ T2-weighted
- โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (spinal stenosis) ที่เกิดจากข้อกระดูกสันหลังขยายใหญ่ขึ้น หรือจากเนื้องอก จากความเสื่อมตามอายุ กรรมพันธุ์ และการใช้งาน
ต้องการมารักษาต้องทำอย่างไร
ค่ารักษาคิดเป็นครั้ง ครั้งละ 800-900 บาท รวมค่าตรวจวินิจฉัย และค่ารักษาทางหัตถเวชกรรม ใช้เวลา 1 ชั่วโมง สำหรับการรักษาโรคไซอาติก้าส่วนใหญ่จะใช้เวลาการรักษาประมาณ 3 ครั้ง ทั้งแบบสาเหตุจากหมอนรองกระดูกและกล้ามเนื้อหนีบเส้นประสาท
คลินิกรับผู้ป่วยเฉพาะที่ได้จองคิวล่วงหน้าโดยผ่านระบบจองการนัดหมายด้วยตนเองทางออนไลน์ ที่ https://boonbua.simplybook.asia/v2/ หรือหากไม่สะดวกผู้ป่วยสามารถโทรมาที่ 098-919-2587 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ช่วยทำการนัดหมายให้ แต่โทรได้เฉพาะในวันเวลาทำการเท่านั้น คือ จันทร์. พุธ. พฤหัสบดี. เสาร์. อาทิตย์. 9.00-18. 00 น.
สงวนสิทธิ์ห้ามคัดลอกไปเผยแพร่เพื่อธุรกิจการค้า แต่สามารถแบ่งปันเพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยได้
#คลินิกรักษากระดูกทับเส้น #ปวดหลังร้าวลงขา #ชาเท้า #สลักเพชร #นวดจัดกระดูก #นวดแก้อาการ #นวดสลักเพชร #ปวดหลัง #ปวดเอว #ปวดก้น #ปวดต้นขา #ปวดน่อง #ปวดข้อพับเข่า #หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท #หมอจัดกระดูก #กล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท #piriformis syndrome